วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ภูติ ผี ปีศาจ วิญญาณ

หากพวกท่านเป็นอีกคนที่ชอบสิ่งลี้ลับ  ที่เกี่ยวกับ ภูติ ผี ปีศาจ วิญญาณ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเราขอ

อย่าให้ท่านอย่าลบหลู่ในสิ่งที่ตนมองไม่เห็น  ผมชอบเกี่ยวกับสิ่งนี้แต่ก็ไม่ได้เจอกับประสบการณ์เหล่านี้

เลย ผมจะหาเรื่องราวเกี่ยวกับภูติ ผี ปีศาจ วิญญาณ มาให้ท่านได้อ่านกันนะครับ  หากท่านมี

ประสบการณ์ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ก็เล่าสู่กันฟังนะครับ



เรื่องเล่า วิญญาณพี่สาว

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานค่ะ พี่ดิฉันนั้นประสบอุบัติเหตุ

ขี่มอเตอร์ไซด์ตกคลองไป ศีรษะกระแทกฟุตบาทก่อนตกน้ำอย่างแรงจึงทำให้เสียชีวิตในทันที



ดิฉันเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนเห็นบ้านล็อคอยู่จึงตะโกนเรียกแต่ไม่มีใครมาเปิดบ้านให้

เพื่อนบ้านเห็นจึงบอกว่าแม่ได้ฝากกุญแจบ้านไว้ให้ ซึ่งตอนนี้ดิฉันก็ยังไม่รู้ว่าพี่สาวเสียชีวิต



พอเข้าบ้านไปก็พี่สาวของดิฉันกำลังนั่งร้องไห้อยู่ ฉันจึงเข้าไปคุยด้วยจนพี่ไม่ร้องไห้

พอประมาณ3ทุ่ม พี่ก็พาดิฉันเข้านอน



เช้ามาดิฉันก็มาเล่าให้แม่ฟังว่าพี่เป็นอะไรไม่รู้ตอนกลับมาจากบ้าน เห็นร้องไห้อยู่ที่โต๊ะ

พอดิฉันพูดคำนี้ทุกคนก็มองหน้ากันไปมา เผอิญดิฉันอาบน้ำอยู่ได้ยินแม่กับพ่อคุยกันว่า

จะบอกดิฉันหรือยังเรื่องที่พี่สาวตายแล้ว

จังหวะที่ดิฉันออกจากห้องน้ำจึงได้ยินอย่างชัดเจน พ่อกับแม่ตกใจ พอดิฉันได้ยินก็ถามแม่ทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรก

ไม่น่าพี่มาหาดิฉัน ถ้ารู้ว่าพี่ตายแล้วดิฉันจะได้พูดสิ่งดีๆกับพี่ให้มากที่สุด



ตอนบ่าย 2 โมง ก็ไปจัดของซื้อของ เพื่อที่จะไว้ให้คนที่มางานมีอาหารทาน พ่อและแม่และญาติผู้ใหญ่

หลายคนคุยกันยุ่งๆ สีหน้าแต่ละคนดูเศร้าๆ ฉันจึงแยกตัวออกมา



พอ 2ทุ่มกว่าๆ พระก็มาฉันใส่ชุดขาวไม่ทันจึงไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำ ขณะที่กำลังเปลี่ยนอยู่ก็มีคนมาเรียก "ปิ่น"

แม่เคยบอกว่าถ้ามีคนเรียกอย่าขานถ้าไม่เห็นหน้าหรือนั่นคือคนจริงๆ เพราะตามความจริงแล้วดิฉันก็กลัวผีเหมือนกัน



พอพระสวดเสร็จดิฉันก็ทานข้าวต้มตามเหมือนงานทั่วไป หลังจากนี้ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นอีกเลย



พอวันที่3 วันเผา ขณะที่ฉันนั้นไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำมีเพียงห้องเดียวเท่านั้น มีคนเข้าอยู่จึงยืนรอตั้งนาน

มีเสียงน้ำราดเหมือนกัน พอฉันเผลอหันหลังให้กับไม่มีคนเข้าอยู่เลย พอทำธุระเสร็จก็ออกมาตามปกติ



ตอนนั้นพระเริ่มสวดฉันจึงรีบเดินเพื่อที่จะไปฟังพระสวด ขณะที่ทุกคนสงบเงียบ ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมองไม่ค่อยชัด

เพราะฉันสายตาสั้นมาก ฝากแว่นไว้กับแม่จึงมองไม่ค่อยชัด ฉันเห็นผู้หญิงคนนี้เดินไป เดินมาแถวญาติๆ

แล้วก็พูดอะไรซักอย่าง พอตอนเผาฉันก็ไปช่วยยกเอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผา มีแต่คนมองฉัน

ฉันก็เอะใจว่ามองทำไม ก็เพราะเขาเห็นพี่สาวของดิฉันเดินตามตลอด



ฉันได้ยินมาเพราะเขาชุมนุมคุยกันดังมาก พอกับบ้านพ่อก็ขับรถ พอขับออกจากวัดซัก1นาที

ก็ได้กลิ่นธูปในรถฉุนจนจาม ฉันทักว่ากลิ่นอะไรทำไมฉุนขนาดนี้ พ่อบอกห้ามทัก ฉันจึงเงียบไป



พอกับมาถึงบ้านพวกญาติๆก็จะมาปลอมใจผู้ที่เป็นแม่และพ่อ ประมาณเที่ยงคืนจังหวะวันนั้นมีบอล

ทุกคนเลยดูเพื่อคลายเคลียดหลังจากที่เศร้ามานานแล้ว ฉันเหลืยบไปมองประตูบ้านเพราะว่า

เจ้าต๊ะหมาของดิฉันเห่าโหยหวนน่ากลัว ฉันพยายามบอกทุกคนว่าเจ้าต๊ะเป็นอะไร



ทุกคนก็ไม่สนใจเลย ฉันจึงเดินไปหน้าบ้านไปดูว่าสุนัขเป็นอะไร ดิฉันเห็นพี่สาวมายืนโบกมือหน้าบ้าน

เท่านั้นแหละชั้นกรี๊ดจนทุกคนวิ่งมาที่ตัวฉันพร้อมกับปลอมใจกันยกใหญ่



จาก : สุกัญญา





เรื่องเล่า เจอดีที่คณะวิทยาศาสตร์

เรี่องนี้เกิดขึ้นที่มหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ

เป็นมหาลัยที่อยู่แถวย่านบางเขน ขอไม่บอกชื่อมหาลัยนะ



เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวโดยตรงซึ้งเรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปีกว่าแล้ว

ตอนนั้นเรียนอยู่คณะวิศวยานยนต์ปี2 ได้ทำงานอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง



ตอนนั้นประมาณหนึ่งทุ่ม ซึ่งปกติจะไม่มีใครมาแล้ว เราทำงานกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามา



เราได้เดินไปดูแต่ไม่เจออะไร ก็ไม่ได้ดิคอะไรแล้วเพื่อนก็ถามว่า ไปไหนมา

ก็บอกเขาว่าได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามา ก็เลยเดินออกไปดู



เขาบอกว่า"คงไม่มีอะไรหรอกทำงานต่อดีกว่า"แล้วผ่านไปประมาณ30นาทีได้

เรากับเพื่อนเห็นคนอยู่ข้างบนตึกชั้น4 ตึกนั้นเป็นตึกของคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่ๆทำงานอยู่กับเพื่อน

เป็นที่ผิดสังเกตุมากเพราะว่าไฟบนตึกก็ปิดหมดแล้ว

เรากับเพื่อนเลยขึ้นไปดูเราก็ไล่เปิดไฟที่ล่ะชั้นพอมาถึงชั้นที่4ไฟกลับไม่ติด



เพื่อนผมบอกว่าให้รอตรงนี้ก่อนเดี๋ยวเขาไปตามยามมา ก็ไม่ได้คิดอะไรก็เลยยืนรอเพื่อน

ลงไปไม่ถึง2 นาที ก็เห็นคนเดินอยู่ คิดว่าหน้าจะเป็นผู้ชายรูปร่างใหญ่มากใส่ชุดสีขาว

เราก็เรียกเขาว่า"คุณมาทำอะไรมันดึกมากแล้ว"แต่เขาไม่หยุด เราก็เดินตามเขาเดินไว้มากผมเดินไปเกือบสุดชั้น

ไปถึงห้องทดลอง เห็นว่าประตูห้องเปิดอยู่ เราก็มองเข้าไปก็เห็นคนๆนั้นยืนทำอะไรบ้างอยู่



แล้วเพือนผมก็ขึ้นมา เขาบอกว่าไม่มีใครอยู่ข้างล่างเลย เขากลัวเรารอนานก็เลยขึ้นมา

ก็บอกว่ามีคนทำอะไรอยู่ในห้องไม่รู้เราก็เลยเข้าไปดูกัน



พอก้าวขาเข้าไปไฟก็ติดแต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อ คือคนที่ผมเห็น เขาหายไปทั้งๆที่ห้องทดลองนั้นไม่มีหน้าต่างแล้วผมก็ยืนที่หน้าประตู



หาดูตามใต้โต๊ะก็ไม่เจอ เราก็รีบลงมาแล้วก็บอกกับเพื่อนว่า ถ้าคนที่เราเห็นจะออกจากห้อง

เราก็ต้องเห็นแล้ว



ดึกมากแล้ว ก็เลยกลับบ้าน พอมาตอนเช้า ได้ถามรุ่นพี่ที่เรียนคณะนั้น เขาบอกว่าที่รุ่นพี่คนหนึ่งเขาตายอยู่ในห้องนั้น

พวกเขาก็เคยเห็น เราขนลุกขึ้นมาทันที



หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนเจอแบบเดียวกัน

แต่เจอคนเดียวแล้วเป็นผู้หญิงด้วย

ได้ข่าวว่าเธอลาออกในวันต่อมาเลย

นึกแล้วยังขนลุกไม่หาย



จาก : อารีย์





เรื่องเล่า ผีเต็มถนน

ตอนนั้นผมอายุประมาณ19อยู่ในช่วงปิดเทอมผมเลยกะหางานทำ

พอดีว่าได้งานในห้าง ๆ หนึ่งในตัวจังหวัด ก้อได้ทำงานแบบเข้ากะปกติ



พอดีว่าช่วงสัปดาห์นั้นผมได้เข้างานช่วง 6 โมงเช้า

ผมก้อตื่นประมาณตี4เตรียมตัวทำงานขับมอไซค์ออกจากบ้านประมาณตี5



พอดีว่าเส้นทางประจำของผมมันเปลี่ยวเพราะเส้นทางนี้ผมจะใช้ตอนสว่าง

แต่ต่างจังหวัดช่วงนั้นมันยังมืดอยู่นะคับผมเลยต้องไปอีกเส้นทางนึงข้าง ๆ กับวัด



พอขับไปใกล้ถึงแยกหน้าวัดผมก้อได้เจอกับอะไรบางอย่างซึงเป็นผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาว

แต่ผมเห็นไม่ชัดยืนเรียงกันประมาณ5-6คนแบบว่าเต็มถนนไม่มีช่องทางเดินรถเลยทีเดียว



แล้วก้อกำลังเดินตรงมาหารถผมด้วย ผมเลยคิดว่าคนแก่เค้าคงมาจำศีลตามปกติในวันพระ

ทีแรกก้อไม่กลัวผมเลยตีไฟสูงใส่เรื่อยๆ (เพราะคิดว่าคนแก่เค้าคงกลัวรถและหลีกทางไป)

แต่ผมยิงไฟใส่บ่อยมากๆแบบว่าบ่อยจนเราคิดว่ามันผิดปกติแล้ว



เพราะปกติคนเราเห็นแสงไฟของรถก้อจะหลีกทางไปแล้วเลยเอะใจ

และรถก้อยังวิ่งไปเรื่อยๆตอนนั้นขนลุกมาก แต่ก้อยังไม่คิดไร



พอกลับมาจากทำงานก้อเลยเล่าให้ยายฟังยายบอกว่าวันนั้นใช่วันพระก้อจริง

แต่เค้าต้องไปจำศีลกันตอนเย็นของวันที่ผมเห็นและนอนค้างคืนที่วัด

แต่วันที่ผมเห็นนั้นไม่มีใครไปจำศีลเลยแม้แต่คนเดียว



เออลืมบอกไปตรงนั้นที่ผมเห็นมันเป็นต้นโพธิ์อายุยาวนานมาก

ตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำไปก้อจะมีคนเอาพระพุทธรูปเก่าไปวางไว้มาก

และยายบอกว่าตรงนั้นมีชาวบ้านเห็นบ่อย

ผมเลยไม่กล้าผ่านตรงนั้นอีกแม้กลางวัน กลางคืน แล้วขอเปลี่ยนกะกับเพื่อนไม่เข้าตอนเช้ามืดอีก....


จาก : baskub




เรื่อง ทัวร์โรงแรมสยอง

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงเดือนธันวาคม ปี 44 แต่ยังขนหัวลุกอยู่ทุกครั้งที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดและต้องพักค้างคืนในโรงแรมต่างถิ่น



เรื่องมีอยู่ว่า......



บริษัทฯของฉันมีนโยบายจัดไปเที่ยวปีใหม่ทุกปี เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้พนักงาน ซึ่งพนักงานในบริษัทฯ มีไม่มากเท่าไร

จึงสามารถชักชวนคนในครอบครัวไปด้วยได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

และพร้อมกับจ่ายเงินเดือนและโบนัสแก่พนักงานในคราวเดียวกัน โดยปีนี้เราตกลงกันว่าจะไปเที่ยวพัทยา

โดยเราไปเป็นรูปแบบกลุ่มทัวร์ ทางบริษัททัวร์ (ขอไม่เอ่ยนาม) เขาจะมีโปรแกรมให้เรียบร้อย

จัดว่าคุ้มทีเดียว แต่โหดมากสำหรับการพักผ่อน



โดยเราเริ่มเดินทางกันในเช้าวันเสาร์ ประมาณ 06.00 น. เมื่อทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย เช็คจำนวนทั้งหมดได้เพียง 13 คน

ซึ่งผิดคาดมากเนื่องจากตอนแรกนับไปนับมาได้เกือบ 30 คน ไม่รู้เพราะเหตุใดจะเป็นเพราะดวงหรือโชคที่เขาเหล่านั้น

ไม่ต้องเผชิญสิ่งน่าสะพึงกลัวกับเราก็ได้ เราค้างคืนเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ก็ไม่คิดว่าระยะเวลาแค่ 8 ชั่วโมง

หรือคืนนั้นจะทำฉันขนหัวตั้งและทำเอาฉันแทบจับไข้ได้เหมือนกัน



ออกเดินทาง ประมาณ 07.30 น. และการเดินทางของพวกเรานั้นเป็นไปอย่างสนุกสนานเฮฮา

แล้วเราก็มาถึงสถานที่พักเกือบ 6 โมงเย็น เพราะ แวะเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวด้วย

แต่ส่วนใหญ่เราจะเที่ยวกันแบบทรหดทั้งสิ้น เพราะสถานที่เที่ยวส่วนมากจะเดินชมนกชมไม้เป็นส่วนใหญ่

พวกเราจึงเหนื่อยและอ่อนเพลียมาก หลังจากที่เสร็จสิ้นโปรแกรมเที่ยวภายในวันเสาร์แล้ว

ทางกรุ๊ปทัวร์ก็พาเราเข้าพักในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยชื่อ) แถวชานเมืองพัทยา

ซึ่งเขตที่เราเข้าพักไม่ติดกับทะเลต้องเดินต่อด้วยเท้าประมาณเกือบ 1 กิโลเมตร จึงจะถึงชายหาด



ตึกที่เราเข้าพักนั้นเรียกกันว่า ตึกการ์เด้น จะไม่มีระเบียงห้องตัวอาคารติดกับสระน้ำด้านหน้าโรงแรม

ค่อนข้างเงียบวังเวงมีคนเข้าพักน้อย ทั้งๆที่เป็นช่วงปีใหม่ เราทั้งหมดได้พักอยู่ในโซนเดียวกันห้องเรียงกันทั้งหมด 7 ห้อง

พักกันอยู่ที่ชั้น 3 ของตึกด้านสระน้ำหน้าโรงแรม



ในค่ำวันนั้นทางผู้บริหารของบริษัทฯ ก็จัดงานเลี้ยงเล็กๆให้พนักงานมีการจับสลากของขวัญ แจกโบนัส เงินเดือน

กว่าจะได้เข้านอนก็เกือบห้าทุ่มแล้ว พวกเราส่วนใหญ่ก็เหนื่อยอ่อน หมดเรี่ยวหมดแรง จากการเที่ยวและงานเลี้ยง

จึงแยกย้ายกันเข้านอนตามห้องตามเบอร์ที่ได้กุญแจ โดยฉันและพวกอีก 3 – 4 คนยังไม่สะใจ

และคิดว่า ”ราตรีนี้อีกยาวนาน ใช่...มันยาวนานจริง ๆ”

จึงตกลงกันว่าเดี๋ยวพออาบน้ำเสร็จลงมาเจอกันที่ล็อบบี้ข้างล่าง เพื่อไปเที่ยวเธคของโรงแรมต่อ....



เราออกเดินหาเธคกันตั้งแต่ ห้าทุ่มเศษ จนปาเข้าไปเที่ยงคืนครึ่งก็หาเธคไม่เจอเลยตัดสินใจถามรปภ.มาเธคอยู่ไหน

เขาทำหน้างงและบอกกับเราว่า



“ เธคปิดไปนานแล้วครับเพราะไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวเลยต้องปิดตัวลง ส่วนใหญ่เขาจะเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองพัทยากันหมด”





เราก็ต้องผิดหวังเดินคอตกกลับมาที่ห้องพัก โดยไม่ได้เอะใจอะไร แต่ในช่วงขากลับมันไม่เหมือนช่วงขามา

คือมันวังเวงและมืดจนน่ากลัวกว่าปกติ เราเลยตัดสินเดินคุยกันให้เสียงดังไว้ก่อนและเดินกันแบบหน้ากระดานเรียงหนึ่ง

แล้วเพื่อนสาวปากเสียที่เมาเหล้านิดๆ ก็ทะลึ่งพูดว่า



“เนี่ย ....ถ้าเดิน ๆ อยู่แล้วมีคนเกินมาจะทำไง “





เท่านั้นแหละพวกเราขนลุกเกรียว จึงต่อว่ากลับไปเพื่อให้หยุดความปากเสียของเจ้าหล่อน ว่า



“ไอ้ปากเสียนี่ ไป ๆ รีบเดินเข้าเดี๋ยวก็ถึงห้องแล้ว พูดอย่างงี้ .... เดี๋ยวเขาก็มาเดินด้วยจริงๆหรอก”







เรื่องเล่า เรื่อง โรงเรียนสุดสยอง

ตอนนั้นเป็นชั่วโมงว่าง เพื่อนๆเลยบอกว่าเล่าเรื่องผีกันดีไหม

ฉันบอกว่าเล่นผีเหรียญกันดีไหม เพื่อนก็บอกว่าก็ดีเหมือนกัน



แล้วลงไปเล่นตรงต้นไม้ต้นที่ 9 แล้วก็มีมาเข้าเป็นเด็ก

แล้วฉันก็ถามว่าคุณเป็นอะไรถึงเสียชีวิต เด็กบอกว่า อกหักเลยมาผูกคอที่ต้นไม้ต้นที่ 9



เป็นต้นไม้ที่ฉันเล่นผีถ้วยแก้วกันพอดี แล้วก็ไม่ได้เล่นอะไรมากมาย

เพื่อนๆก็ยังไม่ได้เชิญเด็กออกจากเหรียญเลย แล้วก็เอามือออกกัน



เพราะเด็กบอกว่าต้นไม้ต้นที่ 9 ...



แล้วเพื่อนฉันคนที่เอามือออกคนแรกก็ไม่ได้มาโรงเรียนเป็นเวลานาน

อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร



มารู้ตอนถามเพื่อนแล้วเพื่อนก็บอกว่าเป็นเพราะที่เล่นผีเหรียญ

ที่ฉันเอามือออกเป็นคนแรก โดยยังไม่ได้เชิญเด็กออกก่อน

วิญญานเด็กเลยตามมาหลอกหลอน



จากนั้นฉันก็ไม่ได้เล่นผีเหรียญอีกเลย



เล่าโดย : ไอลดา






เรื่อง ผีอยากเกิด

เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมแม่สะเรียง





เขาว่าคนโดนผีหลอกเป็นคนเคราะห์ร้าย เพราะคนส่วนมากน่ะใช่ว่าจะโดนผีหลอกได้ง่ายๆ เสียที่ไหน

แต่ก็มีหลายคนบอกว่าใครโดนผีหลอกถือว่าผีให้ลาภ จะมีโชคไม่ทางตรงก็ทางอ้อมแน่นอน



คิดแล้วก็งงครับ เหมือนกับคำพูดเก่าๆ ที่ทุกคนคงจะเคยได้ยินมาจนคุ้นหูทั้งนั้นแหละ



นั่นคือ "คนดีผีรัก" กับ "คนดีผีคุ้ม"



ความหมายของ "คนดีผีคุ้ม" คือคนดีๆ ที่อายุสั้น ประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บไข้ตายตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วน "คนดีผีคุ้ม" คือคนดีๆ ที่รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ มาได้เพราะผีช่วยคุ้มครองให้นั่นเอง



สรุปแล้ว ไม่รู้ว่าผีรักหรือชังคนดีกันแน่ แต่ใครๆ ก็ไม่อยากให้ "ผีรัก" หรอกครับ อยากให้ "ผีคุ้ม" มากกว่า



มีท่านผู้รู้บอกกล่าวว่า ผีที่หลอกหลอนมนุษย์มักเป็นวิญญาณชั่วร้าย นิสัยเกะกะเกเร เรียกว่าผีอันธพาล

ส่วนผีที่ปรากฏกายให้เห็นส่วนมากนั้น ไม่มีเจตนาจะหลอกหลอนให้ตกอกตกใจเลย แต่หวังจะมาขอส่วนบุญต่างหากเล่า

ขอให้คนที่พบเห็นภูตผีเหล่านั้นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้โดยเร็ว



ผมเองมีประสบการณ์โดนผีหลอกเหมือนกัน แต่เชื่อว่ามีจุดหมายแตกต่างกว่าเหตุผลข้างต้นที่กล่าวมาโดยสิ้นเชิง



นั่นคือ...ผีอยากเกิดครับ!!



เมื่อเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2546 ผมได้ไปทำงานอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ผมได้ไปติดต่องานที่อำเภอแม่สะเรียง

เราไปกัน 3 คน คือผม และเพื่อนและคนขับรถ ทุกคนล้วนแต่ไปที่นั่นเป็นครั้งแรก



ที่แม่สะเรียงนั่นเอง เราได้ทราบว่ามีรอยพระพุทธหัตถ์จำลองอยู่บนเนินเขาเล็กๆ บ้านดงสงัด จึงตัดสินใจนำรถไปจอดไว้เชิงเขา

แล้วเดินขึ้นไปราว 20 นาทีก็มาถึงบริเวณที่ประดิษฐานรอยพระพุทธหัตถ์จำลองสมใจ



ผมอยากทราบประวัติที่มา แต่ถามใครก็ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่ามีขึ้นเมื่อใด





ขณะนั้น พวกเราได้พบพระธุดงค์องค์หนึ่ง จึงได้กราบไหว้และถวายปัจจัยท่านไปจำนวนหนึ่ง ขากลับ

พระธุดงค์ได้เดินลงมากับพวกเราด้วย แจ้งความประสงค์ว่าต้องไปเยี่ยมญาติใกล้ๆ บ้านดงสงัดนั่นเอง



เมื่อลงมาถึงที่จอดรถจึงได้นิมนต์พระนั่งคู่กับคนขับ จากนั้นรถก็แล่นกลับแม่สะเรียง ครั้นถึงบ้านดงสงัด

พระท่านจึงได้ขอลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่งใกล้ๆ ถนนที่จะไปบ้านแม่คะตวน ส่วนพวกเราก็มุ่งหน้ากลับโรงแรมแห่งหนึ่ง

ในตัวเมืองแม่สะเรียงที่เช่าไว้แต่แรกมาถึงแล้ว



ระหว่างทาง ผมสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ริมทาง เธอแต่งตัวแบบคนพื้นเมือง ผมยาวมาก

ผิวขาวผ่อง ใบหน้าเบือนกลับช้าๆ จนผมมองไม่เห็นชัดเจนแต่หันกลับไปมองอย่างไม่ตั้งใจ



โดยสัญชาตญาณ ผมรู้สึกว่าเธอยืนจ้องมองมาที่ผมคนเดียวอย่างแน่นอน!





แต่อะไรกันนั่น? โคนต้นไม้นั้นว่างเปล่า...ไม่ปรากฏร่างของผู้หญิงคนนั้นแล้ว!






เรื่องเล่า เส้นทางรถไฟสยอง

เรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อตอนสมัยผมเรียนอยู่ชั้นม.3 ที่รร.แห่งหนึ่งย่านดินแดง

ตอนประมาณเดือนธันวาคมภายในปีการศึกษานั้นทางโรงเรียนก็ได้มีการเข้าค่ายลูกเสือที่ค่ายวชิราวุธ

จังหวัดอะไรนั้นผมจำไม่ได้แล้ว เป็นการเข้าค่ายใหญ่ภายในเขตที่โรงเรียนผมอยู่ร่วม



ที่พักโรงเรียนของผมนั้นทางด้านหลังเป็นเหวลึกลงไป

ซึ่งภายในเหวนั้นได้มีรางรถไฟที่ยังใช้งานอยู่ แล้วเหตุการณ์มันเกิดขึ้นในคืนวันที่สาม



กลุ่มผมได้รับมอบหมายให้อยู่เวรกลางคืนกัน พวกผมจึงพากันเดินเวร

พอสักราวๆ ตี2 กว่าๆ เพื่อนผมได้เอ่ยปากชวนกันไปนั่งกันตรงบริเวณเหว

นั่งคุยกันสักพักผมก็ได้ยินเสียงวูดรถไฟ

ผมก็ไม่ได้สงสัยอะไรเพราะเส้นทางรถไฟสายนี้ยังคงใช้งาน เพราะช่วงบ่ายๆ ผมก็ยังได้ยินเสียงรถไฟวิ่งผ่านอยู่

จนกระทั่งได้ยินเสียงของรถไฟวิ่ง พี่ๆ คงเคยได้ยินเสียงล้อรถไฟใช้มั้ยครับ

ผมกับเพื่อนๆ ก็ได้มองลงไป ปรากฎว่าสิ่งที่พวกผมต้องตกใจก็คือ มันไม่มีรถไฟวิ่งมาครับ



แต่ได้ยินเสียงรถไฟวิ่งผ่าน ได้ยินกันชัดเจนมาก แล้วที่ผมแน่ใจว่ามองไม่เห็นรถไฟแน่ๆ

คือ บริเวณข้างทางรถไฟมันมีเสาไฟที่ส่องบริเวณรางรถไฟไงครับ ทำให้ผมแน่ใจว่า



ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน พวกผมทั้งหมดจึงพากันลุกขึ้นวิ่งกลับเข้าเต็นท์พากันนอนคลุมโปงจนเผลอหลับ

ไปถึงเช้าครับ เรื่องราวของผมก็มีอยู่เท่านี้ครับ





ที่มา ช็อคเอฟเอ็มคลับ





                                                                   แหล่งที่มาทั้งหมด : http://www.sonthayaonline.com/

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Angel of death

Max Angel of death







วังวนแห่งความตาย และรอยเลือดแห่งความแค้น




ผม <Max Angel of death> ยินดีต้อนรับทุกคนสู่



นรกแห่งแห่งความหนาวเย็น



ที่จะเกาะกุมหัวใจคุณ สถานที่ไร้ซึ่งความปราณี



เพลิดเพลินไปกับคีตะ ที่บรรเลงเสียงกรีดร้องแห่งความทรมาร



การแสดงพร้อมความเสียงร่ำให้ ที่อาบด้วยเลือด








ยมทูตแห่งความตาย



มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ  ถูกหลอกล่อด้วยตัณหาได้ง่าย  ชีวิตหลังความตายก็ไม่พ้นนรก  ซึ่งจะต้องมียมทูตแห่งความตายมาตัดสินชะตาชีวิต


Death as a sentient entity is a concept that has existed in many societies since the beginning of history. In English, death is often given the name the "Grim Reaper" and from the 15th century onwards came to be shown as a skeletal figure carrying a large scythe and clothed in a black cloak with a hood


is also given the name of the Angel of Death (Hebrew: מַלְאַךְ הַמָּוֶת‎ Malach HaMavet) stemming from the Bible




 ยมทูตเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกเป็นแนวคิดที่มีชีวิตอยู่ในสังคมจำนวนมากตั้งแต่เริ่ม


ต้นของประวัติศาสตร์ ในภาษาอังกฤษ ยมทูตมักจะได้รับชื่อ"Grim Reaper"และจากศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมาจะปรากฏเป็นโครงกระดูกถือเคียวขนาดใหญ่และผ้าในเสื้อคลุมสีดำที่มีประทุน และจะได้รับชื่อ Angel Of Death (Hebrew : מַלְאַךְהַמָּוֶת Malach HaMavet) จากพระคัมภีร์


 
คงเริ่มตั้งแต่ยุคต้นของประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยทีเดียวที่โครงกระดูกเป็น


สัญลักษณ์แห่งความตาย ภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดยังเป็นภาพของโครงกระดูกที่กำลังถือหลาว ไว้จัดการกับผู้ที่กำลังถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ดังนั้นความตายโดยทั่วไปจึงมีรูปธรรมออกมาในลักษณะนี้โดยมีรูปแบบที่

แตกต่างออกไปบ้างในแต่ละวัฒนธรรมในสมัยกลาง แนวคิดเรื่องเวลาก็มีรูปธรรมเป็นชายชราผมยาวสยายถือเคียวด้ามยาว มนุษย์เราจึงตระหนักถึงความใกล้ชิดของเวลาและความตายมานานแล้วจึงได้ผสม ผสานเวลาและความตายออกมาเป็น กริม รีบเปอร์ "พญามัจจุราชมีดโค้ง" ในชุดคลุมสีดำที่มีหัวกระโหลกเพ่งมองจากหมวกคุม ในมือถือเคียวด้ามยาวขนาดใหญ่

ไว้สำหรับตัดลำต้นที่เรียกว่า "ชีวิต" บางรูปลักษณ์ก็ถือนาฬิกาทราย